วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ทรัสต์ คำนี้รู้จักกันหรือไม่ ....... ? ภาค ๑

ทรัสต์



         ทรัสต์... น้อยคนนักจะรู้จัก ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะปัจจุบันนั้นทรัสต์ได้ถูกยกเลิกและไม่มีการใช้แล้วบังคับแล้ว จะเว้นก็แต่ทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นตามกฏหมายเฉพาะเท่านั้น

         ถ้าจะบอกว่าทรัสต์คืออะไร ก็ต้องเล่าว่าทรัสต์นั้นอาศัยหลัก "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" กัน ถ้าจะกล่าวถึงประวัติของทรัสต์นั้นก็คงต้องย้อนไปในสมัยโรมัน ซึ่งคงจะยาวไป
         จะขอสรุปของหลักของทรัสต์ให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง ทรัสต์ประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ
  1. ความแน่นอนในการก่อตั้งทรัสต์
  2. ความแน่นอนในตัวทรัสตี
  3. ความแน่นอนในตัวผู้รับประโยชน์
          ถ้าให้อธิบายความหมายอย่างย่อก็คือ การที่บุคคลคนหนึ่งซึ่งเรียกว่าผู้ก่อตั้งทรัสต์โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่าทรัสตีให้เป็นผู้ดูแลจัดการทรัพย์สินนั้น และเมื่อเกิดดอกผลหรือผลประโยชน์ขึ้นมาก็ต้องมอบให้แก่ผู้รับประโยชน์ ทั้งนี้อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นหลัก โดยการจัดการดูแลทรัพย์สินนั้นจะต้องกระทำภายในขอบวัตถุประสงค์ของผู้ก่อตั้งทรัสต์เท่านั้น จะจัดการไปตามอำเภอเสมือนหนึ่งว่าเป็นทรัพย์สินของตนเองไม่ได้
          สำหรับในปัจจุบันก็อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าทรัสต์กรณีนี้ที่ได้อธิบายไปนั้นจะเรียกว่าไม่มีอยู่แล้วก็ว่าได้ แต่ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้างแต่ไม่มาก ซึ่งนานๆครั้งหรือนานมากๆจึงจะได้พบเห็นกัน ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะว่า ทรัสต์ ที่จะก่อตั้งขึ้นด้วยหลักนี้ได้ต้องก่อตั้งขึ้นมาก่อนที่ บรรพ ๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะใช้บังคับซึ่งก็คือ ทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นก่อน ๑ ตุลาคม ๒๔๗๘ เท่านั้น ทรัสต์ที่ก่อตั้งขึ้นหลังจากบรรพ ๖ ใช้บังคับแล้วนั้นไม่มีผลตามกฏหมายแต่อย่างใด

          เช่นเคยครับสำหรับผู้อ่านที่ต้องการข้อมูลสอบถามเพิ่มเติมผมแนะนำให้สอบถามเพิ่มเติมที่ สำนักมาตราฐานการทะเบียนที่ดิน กรมที่ดิน เป็นหลัก เพราะสำนักงานที่ดินเขตต่างๆก็ล้วนแต่ใช้หลักเดียวกัน เพราะฉะนั้นการสอบถามที่สำนักงานที่ดินกลางจึงน่าจะดีที่สุด http://www.dol.go.th/lo/smt/ โทร 02-141-5753
          หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผมก็เชิญที่กล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างครับ
                                                                                                      ขอบคุณครับ
                                                                                              เกียรติศักดิ์  ทนายความ

ถูกฟ้องคดี กยศ. ทำอย่างไรดี ? ภาค ๑


ถูกฟ้องคดี กยศ. ทำอย่างไรดี ? ภาค ๑





         ถูกฟ้องคดี กยศ. ทำอย่างไรดี ? คงเป็นคำถามที่คนหลายคนซึ่งกู้ยืมเงินมาเรียนต้องเจอ...
         
         โดยปกติแล้วเมื่อเรากู้ยืมเงินจากทาง กยศ. เมื่อถึงเวลาตามที่กำหนด ก็จะมีหนังสือจากทาง กยศ. แจ้งมาให้เราชำระหนี้ สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่ไม่ชำระหนี้หรือชำระหนี้ไม่ตรงตามกำหนด แน่นอนว่าทางกยศ.ก็จะดำเนินการต่อไป นั่นก็คือการใช้สิทธิทางศาลนั่นเองครับ

          แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราถูกฟ้องเป็นคนคดี กยศ. ? คำตอบก็คือ เมื่อเราถูกฟ้องเป็นคดี กยศ. ก็จะมีหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องจากศาลส่งมาให้ที่บ้าน คำว่าบ้านที่ว่านี้ หมายถึง บ้านตามตามสำเนาทะเบียนของเรานั่นเองครับ

          ในหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องนั้น ก็จะมีวันนัดและเวลาที่เราจะต้องศาลอยู่ในหมายเรียก ข้อสังเกตในการดูหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องนะครับ ให้ดูว่าศาลอะไร , นัดวันที่อะไร(วันที่นัดบ้างครั้งอาจจะตรงกับวันหยุดก็ตามนั้นครับ) , นัดเวลาไหน
          ในเรื่องนี้ก็ต้องดูให้ดีนะครับเพราะพอถึงเวลาจะได้ไปได้ถูกต้อง

          ในส่วนของการเตรียมตัวในวันที่ศาลนัดนั้น ในทางปฏิบัติที่มีการฟ้องคดีนั้นก็เพื่อต้องการให้ทางผู้กู้ยืมชำระเงินคืนในกับทางกยศ.เพื่อที่จะได้นำไปเป็นทุนการศึกษาให้กับน้องๆต่อไป ดังนี้คำว่า ในวันนัด ดังกล่าวข้างต้นนั้น จะเป็นการนัดเพื่อให้ทางผู้กู้ยืมและผู้ค้ำไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่าจะชำระเงินคืนให้กับทางกยศ. แต่กรณีที่ทางผู้กู้ยืมกับผู้ค้ำไม่ไปตามนัด ทางขั้นตอนทางกฎหมายศาลก็จะมีคำพิพากษาต่อไป
          สำหรับการเตรียมตัวในวันนัดก็อย่างที่เกริ่นไป โดยหลักแล้วก็ต้องการให้ทางผู้กู้ยืมและผู้ค้ำมากตกลงว่าจะยอมชำระเงินที่กู้ยืมคืนให้กับทางกยศ. ดังนั้นการเตรียมตัวและสิ่งที่ต้องเตรียมไปก็พอจะสรุปได้ดังนี้
  1. ในวันนัดที่มาทำยอม ทั้งผู้กู้และผู้ค้ำประกันทุกคนต้องไปศาลตามวันเวลาในหมายเรียก ในกรณีที่ผู้ค้ำฯคนหนึ่งหรือหลายคนไม่สามารถมาได้ ต้องทำหนังสือมอบอำนาจให้ผู้กู้มาทำสัญญายอมแทน หากในวันนัดผู้กู้กับผู้ค้ำมาไม่ครบทุกคน และไม่ได้มีการทำหนังสือมอบอำนาจมา ก็จะไม่สามารถทำยอมได้ และก็มักจะเป็นเหตุให้ผู้กู้ยืมและผู้ค้ำต้องไปเตรียมเอกสารให้ครบและมาศาลเป็นครั้งที่สองด้วย
  2. หนังสือมอบอำนาจที่กล่าวถึง โดยปกติแล้วในหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องแต่ละชุดจะมีหนังสือมอบอำนาจแนบไปให้ด้วยอยู่แล้ว ผู้กู้หรือผู้ค้ำซึ่งจะเป็นมอบอำนาจก็เพียงแต่กรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและติดอากรแสตมป์ ๑๐ หรือ ๓๐ บาท แล้วแต่ทางศาลจะพิจารณา ดังนั้นก็ควรเตรียมไป ๓๐ บาท และที่จะต้องเตรียมไปคู่กันกับหนังสือมอบอำนาจเสมอก็คือ สำเนาบัตรประชาชนของมอบอำนาจ ซึ่งต้องเซ็นชื่อและรับรองสำเนาถูกต้องให้เรียบร้อยด้วย

          ครับผม สำหรับวันนี้ก็ขออนุญาตเขียนเพียงเท่านี้ก่อน แล้วจะมาเขียนต่อในวันต่อไปครับ
          สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บไซด์ของกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา(กยศ.)
http://www.studentloan.or.th หรือ โทร 02-610-4888
          หรือถ้าต้องการปรึกษาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผมก็เชิญที่กล่องแสดงความคิดเห็นข้างล่างครับ
          ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจากเว็บ กยศ. และ www.dek-d.com ครับ
  
                                                                                                                  ขอบคุณครับ
                                                                                                           เกียรติศักดิ์  ทนายความ
          

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

4 ที่ในวันเดียว !!!



สวัสดีครับ  วันนี้ก็ตามชื่อหัวข้อเลยครับ วันนี้ได้มีโอกาสไปติดต่อสถานที่ราชการ 4 ที่ภายในวันเดียวกัน ซึ่งก็มีสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.)
  1. สำนักงานอัยการสูงสุด
  2. ศาลล้มละกลาง
  3. ศาลจังหวัดมีนบุรี
          วันนี้ก็เลยจะขอพูดเกี่ยวกับวิธีการเดินทางไปทางสามสถานที่ โดยจะขอเริ่มต้นการเดินทางจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก่อนนะครับ
  • สถานที่แรกที่จะไปก็คือ ป.ป.ท. สามารถเดินทางได้ด้วยรถขนส่งสาธารณะ ซึ่งก็คือรถเมล์สาย 166 ขึ้นฝั่งเกาะพหลโยธินครับ รถเมล์จะขึ้นทางด่วนครับ(ลืมบอกไปครับว่า ป.ป.ท. สถานที่ตั้งปัจจุบัน ณ เวลาที่ผมเขียนบทความ อยู่ที่ตึก software park ครับ) ต่อครับ พอรถเมล์ขึ้นและลงจากทางด่วนแล้ว ป้ายที่เราจะลงคือป้ายเซ็นทรัลแจ้งฯครับ พอลงรถเมล์แล้วหันหน้าเข้าถนนจะเห็นตึกสูงๆ ตึกนั่นแหละครับ software park 
  • ต่อจากนั้นก็นั่งเมล์หรือรถตู้จากหน้าตึกเพื่อไปที่สำนักงานอัยการและศาลล้มละลายกลาง ซึ่งทั้งสองหน่วยงานอยู่ในสถานที่เดียวกัน คือ ศูนย์ราชการแจ้งฯ จุดสังเกตว่านั่งมาถึงศูนย์ราชการหรือยัง ก็คือสังเกตได้จากตึกของ DSI ครับ จะอยู่ทางขวามือของเราขณะที่เรานั่งรถเมล์หรือรถตู้มา เมื่อเห็นตึก DSI ก็กดออดลงได้เลยครับ เพราะว่าทั้งสองหน่วยงานข้างต้นก็จะอยู่บริเวณเดียวกัน สามารถลงเดินได้ครับ แต่อาจจะเดินเหนื่อยเล็กน้อย แต่ถ้าไม่อยากเดินก็มีมอเตอร์ไซด์รับจ้างอยู่ครับ
  • ต่อไปก็ไปศาลจังหวัดมีนบุรี การเดินทางก็คือ เราข้ามฝั่งมาที่ฝั่งเดิมตอนที่ลงรถเมล์หรือรถตู้ครับ โดยจะมีรถตู้ไปมีนบุรี ข้างหน้ารถตู้จะมีเขียนป้ายบอกว่า "มีนบุรี" ครับ เราก็นั่งต่อไปจนสุดสายครับ ค่าโดยสาร 25 บาท (รถตู้คันที่เคยนั่งนะครับ) โดยรถตู้จะไปสุดสายที่ตลาดมีนบุรีคือยังไม่ถึงศาลนั่นเอง เราต้องต่อรถ 2 แถว หรือรถเมล์ไปต่อ ถ้ารถสองแถวก็ 7 บาทครับ
          
          หากผู้อ่านต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ตามนี้เลยครับ
                    สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
          http://www.pacc.go.th/pacc_website/index.php/contact  กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ โทร. 02-502-6671
                    สำนักงานอัยการสูงสุด
          http://ago.go.th/link.php
                    ศาลล้มละลายกลาง
          http://www.cbc.coj.go.th/cms3_autostart.php  โทร 02-141-1500
                    ศาลจังหวัดมีนบุรี
          http://www.mnbc.coj.go.th/cms3_autostart.php โทร 02-171-4111

          หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม เชิญที่กล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างเลยครับ

                                                                                                                     ขอบคุณครับ                                                                                                                                        เกียรติศักดิ์ ทนายความ      
                   

วันจันทร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2556

ถูกอายัดที่ดินทำอย่างไร ?







สวัสดีครับ    ช่วงก็ได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับที่ดินที่ถูกอายัดโดยคำสั่งศาล  ก็เลยจะขอพูดถึงการถอนอายัดที่ดินแล้วกันครับ  เรื่องก็มีอยู่อยู่ว่า นาย ก. ต้องขายที่ดินของตนเอง จึงได้มอบหมายให้ นาย ข. ทนายความไปดำเนินการตรวจสอบเกี่ยวกับขั้นตอนการขายตามกฎหมายให้ 
          นาย ข. เมื่อทราบถึงเจตนาของนาย ก. จึงไปดำเนินให้การ โดยอย่างแรกที่นาย ข. ทำก็คือ ไปดำเนินการตรวจสอบโฉนดที่ดินที่สำนักงานที่ดินที่เขตก่อนนั้นเอง
          ในที่นี้จะขอพูดถึงกรณีที่ที่ดินถูกอายัดไว้ด้วยคำสั่งของศาลนะครับ ที่ดินแปลงใดก็แล้วแต่ที่ถูกอายัดด้วยคำสั่งของศาล ในสำนวนเอกสารของที่ดินแปลงนั้น (เวลาที่สำนักงานที่เอกสารตัวจะถูกเรียกว่า "สารบบที่ดิน")
  1. จะมีหนังสือที่เป็นคำสั่งของศาลแจ้งมายังสำนักงานที่ดิน ใจความของหนังสือคือ ให้ระงับการจดทะเบียน เปลี่ยนแปลง หรือ ทำนิติกรรม เพราะที่ดินแปลงนี้ถูกนำไปใช้ประกันตัวผู้ต้องหาหรือเหตุอื่นๆแล้วแต่กรณี
  2. จะมีหนังสือของสำนักงานที่ดินลักษณะเป็นกระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็กกว่าครึ่งกระดาษ A4 เล็กน้อยครับ ในนั้นจะมีใจความว่า ให้อายัดที่ดินโฉนดแปลงนี้ตามคำสั่งของศาล......คดีหมายเลขดำ/แดงที่..... วันที่เริ่มอายัด และมีเจ้าหน้าที่ลงชื่อกำกับข้างล่างของหนังสือ
          หลังจากที่นาย ข. ได้ขอดูสารบบที่ดินแปลงนี้ก็ได้พบว่ามีหนังสือคำสั่งของศาลให้อายัดเพราะที่ดินถูกนำไปใช้เป็นหลักทรัพย์ประกันตัวอยู่ต้องหา และมีหนังสืออายัดของเจ้าหน้าที่อยู่ในสารบบที่ดินแปลงนี้
          ลำดับต่อมาที่นาย ข. ทำก็คือ จดเลขคดีดำหรือคดีแดง ชื่อศาล ที่ปรากฎให้เอกศาลข้างต้น แล้วไปสอบถามเพื่อขอดูสำนวนที่ศาล
          เมื่อไปศาลเราก็ต้องไปตรวจดูว่าที่ดินแปลงนี้สามารถถอนอายัดได้หรือยัง กรณีของนาย ข. ปรากฎว่าที่ดินแปลงหลังจากที่ถูกนำมาใช้ประกันตัวผู้ต้องแล้ว แม้คดีจะยังไม่ถึงที่สุด แต่ได้มีการเปลี่ยนหลักทรัพย์ในการประกันตัวถูกต้องหา ทั้งได้มีการยื่นคำร้องขอให้ศาลถอนอายัดและศาลก็ได้อนุญาตพร้อมกับเคยมีผู้รับมอบอำนาจของเจ้าของที่ดินมารับหนังสือแจ้งถอนการอายัดไปด้วยตนเอง  แต่คนที่รับหนังสือแจ้งถอนอายัดไป ไม่ได้นำหนังสือนั้นไปยื่นให้สำนักงานที่ดินเพื่อถอนอายัด
          แต่ไม่เป็นไร นาย ข. จึงปรึกษากับเจ้าหน้าที่ศาลว่าขอคัดถ่ายสำเนาคำสั่งถอนอายัดในสำนวนของศาลพร้อมทั้งให้เจ้าหน้าที่รับรองความถูกต้อง และสามารถนำสำเนาตัวนี้ไปยื่นต่อเจ้าหน้าที่ที่ดินแทนฉบับจริงได้ 
          เพิ่มเติมนะครับ ในขั้นตอนของการส่งหนังสือแจ้งถอนการอายัดนั้น สามารถทำได้ 2 วิธี คือ
  1. แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ศาลให้เป็นผู้นำให้ หรือ
  2. เราสามารถไปรับหนังสือแจ้งการถอนอายัดนั้นด้วยตัวเอง แล้วนำไปยื่นที่สำนักงานที่ดิน
          สำหรับในรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติม ผู้อ่านสามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานที่ดินหรือศาลที่ใกล้บ้านของท่านครับ
          หรือหากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากผมก็เชิญที่กล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างครับ
                            
                                                                                                             ขอบคุณครับ
                                                                                                    เกียรติศักดิ์  ทนายความ

          

วันศุกร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ที่ดินแปลงนี้อยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดิน ขายได้หรือไม่ ภาค ๑




สวัสดีครับ


               บทความนี้ก็เป็นเรื่องแรกที่ผมจะเขียนนะครับ ทีแรกก่อนที่จะเริ่มเขียน ก็ว่ามีหลายๆเรื่องที่อยากจะแบ่งปัน แต่พอมาลงมือเขียนจริงๆก็กลับเขียนไม่ค่อยออก

               พอดีช่วงนี้ได้มีโอกาสศึกษาเกี่ยวกับโครงการจัดสรรที่ดิน แต่ความจริงเรื่องมันก็ไม่ได้ว่าเกี่ยวกับเรื่องจัดสรรโดยตรงหรอกครับ คืออย่างนี้ครับ เรื่องมีอยู่ว่า นาย ก. เป็นเจ้าของที่ดินในโครงการบ้านจัดสรร และก็มีความประสงค์อยากจะขายที่ดินของตนเอง แต่ติดที่ว่าที่ดินแปลงนี้ ข้างหลังโฉนดที่ดินของตนเองที่อยากจะขายนั้นมีข้อความสลักข้างหลังโฉนดว่า "ที่ดินแปลงนี้อยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดิน"
               พอเจอข้อความอย่างนี้นาย ก. ก็เลยสงสัยว่าแล้วแบบนี้จะขายได้หรือเปล่า นาย ข. ซึ่งเป็นทนายความก็เลยขันอาสาไปค้นหาความจริงให้ นาย ข. เองก็พอเรียนกฎหมายมาบ้างประกอบกับครูดีช่วยสั่งสอน จึงทำให้คิดได้ว่าเรื่องนี้ก็ต้องไปเปิดกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องการจัดสรรที่ดินดูก่อน ซึ่งตัวกฎหมายตัวนี้ชื่อว่า "พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ.๒๕๔๓" นั่นเอง
               พอนาย ข. เปิดกฎหมายอ่านดูพอจะเข้าใจแล้ว ขั้นตอนต่อไปนาย ข. ก็เลยไปที่สำนักงานที่ดินสาขาที่ที่ดูแลที่ดินโฉนดแปลงของนาย ก.
               ที่สำนักงานที่ดินนั้นเมื่อไปถึงก็มีเจ้าหน้าอยู่หลายคน หลายช่องเหลือเกิน แต่เนื่องจากเรื่องที่นาย ข. ต้องการปรึกษาเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดิน นาย ข. เหลือบเห็นป้าย เขียนว่า "จัดสรรที่ดิน ๑๐" ก็หมายความว่า ติดต่อเรื่องการจัดสรรที่ดิน ติดต่อช่องเบอร์ ๑๐ นาย ข. เห็นดังนี้ก็จึงตรงดิ่งไปถามเจ้าหน้าที่ช่องเบอร์ ๑๐ ทันที
               พอนาย ข. ตรงดิ่งไปเจอกับเจ้าหน้าที่ ก็ทำการสอบถามทันทีว่า ที่ดินที่มีการสลักหลังโฉนดด้วยข้อความว่า "ที่ดินแปลงนี้อยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดิน" นี้สามารถนำไปขายได้หรือไม่ ?
               อ้อ... ตอนนาย ข. ไปพบเจ้าหน้าที่ นาย ข. เอาสำเนาโฉนดแปลงนั้นไปด้วยนะ
               พอเจ้าหน้าที่ได้ฟังคำถามพร้อมกับตรวจดูข้อความสลักหลังโฉนดดังกล่าว ก็ตอบได้ทันทีว่า "โฉนดที่ดิน ที่มีการสลักหลังว่า ที่ดินแปลงนี้อยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดิน นั้น สามารถทำการซื้อขายกันได้ตามปกติ ครับผม"
               ก็ตามภาษาของนาย ข. เป็นคนขี้สงสัย ก็เลยถามถามเจ้าหน้าที่ไปว่า ถ้าสามารถขายได้ปกติแล้วจะมีข้อความแบบนั้นไว้ทำไม
               เจ้าหน้าที่ก็ตอบสวนทันควัน คือให้เหตุผลว่า เนื่องจากที่ดินแปลงนี้เดิมเป็นที่ดินแปลงใหญ่ที่เจ้าของดินนำมาทำการจัดสรรตาม "พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ.๒๕๔๓" กล่าวก็คือ เจ้าของเอาที่ดินเอาที่ดินของตนมาขอทำแบ่งเป็นแปลงย่อยตั้งแต่ ๑๐ แปลง ตามกฎหมาย "พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ.๒๕๔๓" นั้นก็บัญญัติให้ว่า เจ้าหน้าที่ที่ดินจะต้องทำการจดแจ้งข้อความว่า "ที่ดินแปลงนี้อยู่ภายใต้การจัดสรรที่ดิน" ลงไปที่ข้างหลังโฉนดแปลงย่อยนั้นๆ เพื่อให้เป็นที่ทราบกันว่าที่ดินแปลงนั้นแปลงนี้อยู่ในโครงการจัดสรรที่ดินนะ
               บทความนี้ก็เริ่มจะยาวมากเกินไปแล้วครับ ก็จะขอไปต่อกันในบทความหน้าแล้วกันนะครับ
               สำหรับบทความนี้ก็ถือเป็นเรื่องเล่าโดยคราวๆที่นำมาแบ่งปันกัน ถ้าผู้อ่านต้องการที่จะได้คำปรึกษาที่ละเอียดกว่านี้ก็สามารถติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานที่ดินใกล้บ้านของท่านหรือจะติดต่อไปที่กรมที่ดินก็ได้ครับตามเว็บของกรมที่ดิน http://www.dol.go.th หรือเบอร์โทรศัพท์ ๐-๒๑๔๑-๕๕๕๕
               หรือถ้าต้องสอบถาม พูดคุย หรือเพิ่มเติมข้อมูล ก็เชิญที่กล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างได้เลยครับ
                                                                                    เกียรติศักดิ์ ทนายความ